วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ข้อควรรู้ของหน้ากากอนามัย

 
          จากสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ H1N1 ที่ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก  
จนทำให้มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  อีกทั้งมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้  ในสถานการณ์เช่นนี้  เราควรคำนึงถึงการป้งกันตนเองจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่
ดังกล่าว วิธีการง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ คือ การล้างมือบ่อยๆ และการใช้หน้ากากอนามัย  
ซึ่งหน้ากากอนามัยที่นิยมใช้ มี 2 ประเภท คือ
1. หน้ากากทั่วไป  ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด  มีทั้งชนิดกระดาษและชนิดที่เป็นผ้าสามารถป้องกันได้ 80%
          - ชนิดผ้าสามารถทำเองได้  โดยวิธีการผลิตหน้ากากอนามัยแบบผ้าที่เหมาะสมนั้นสามารถทำได้
ง่ายๆ ดังนี้ 
1. นำผ้าที่มีเส้นด้ายไม่น้อยกว่า 40 เส้น ต่อพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว  เช่น ผ้ายืด ผ้าสาลู หรือผ้าฝ้าย (cotton) 
มาตัดเย็บโดยขนาดของผ้ากว้างประมาณ 15 ซม. ยาวประมาณ 15 ซม. โดยให้ผ้ามีความหนาอย่างน้อย 
3 ชั้น และจับจีบขนาดประมาณ 3 ซม. ตรงกลางผืนผ้า  
2. ใส่โครงพลาสติกหรือลวดตรงขอบหน้ากากด้านบนเพื่อให้หน้ากากแนบกับสันจมูกเวลาสวมใส่ 
3. ติดยางยืดสำหรับคล้องใบหูทั้งสองข้าง  ความยาวของยางยืดปรับตามขนาดใบหน้าของผู้สวมใส่  
ส่วนวิธีใช้หน้ากากอนามัยชนิดนี้  เมื่อใช้แล้วนำมาซักด้วยผงซักฟอกหรือสบู่ ตากให้แห้ง 
และนำกลับมาใช้ซ้ำได้
         - หน้ากากอนามัย  แบบกระดาษเยื่อชนิด 3 ชั้น ป้องกันเชื้อโรคได้ 5 ไมครอน หรือป้องกันได้ 

ร้อยละ 80 มีอายุการใช้งานประมาณ 3 วัน  หากเกิดการฉีกขาด และมีรอยเปื้อน ควรทิ้งทันที การสวมใส่
ต้องนำด้านที่มีสีเข้มออกทางข้างนอก  หรือสังเกตจากรอยพับของผ้าด้านหน้าต้องพับลง  ซึ่งหากใส่ผิด  
รอยพับจะกักเก็บฝุ่นละอองในรอยพับทำให้หายใจลำบาก
2. หน้ากาก N95 สามารถกรองเชื้อโรคได้ละเอียดกว่าชนิดแรกป้องกันเชื้อโรคขนาดเล็กมากๆ ประมาณ 
0.3 ไมครอนได้ หน้ากาก N95 มี 2 ชนิด แบบชนิดที่มีวาล์ว เพื่อให้หายใจได้สะดวก และชนิดที่ไม่มีวาล์ว 
ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเนื่องจากราคาถูก  แต่มีข้อเสียอยู่ที่หากใส่ไปนานๆ ทำให้หายใจลำบาก  
จึงไม่ควรให้เด็กที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ใส่หน้ากากชนิดนี้  เพราะอาจทำให้เด็กเสียชีวิตได้  
ขณะเดียวกันหาหน้ากากชำรุดหรือเห็นสภาพไม่สามารถใช้งานต่อไปได้  ควรทิ้งทันที  
วิธีการสวมหน้ากกาแบบ N95 ควรจับบริเวณด้านนอก เพื่อประคอง และดึงสายสวม
การเลือกซื้อหน้ากากอนามัยให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน   การเลือกซื้อหน้ากากอนามัยให้มีคุณภาพ
ได้มาตรฐานนั้นควรเลือกหน้ากากอนามัยชนิด 3 ชั้น  ที่มีประสิทธิภาพการกรองได้ไม่น้อยกว่า 95% 
ของอนุภาคขนาด 3 ไมครอน (ทราบได้จากผลทดสอบในห้องทดลอง หรือ อาจดูได้จากรายละเอียด
ข้างกล่องที่ระบุว่า BFE – Bacterial  Filtration  Efficiency  มากกว่า 95%) ซึ่งประกอบด้วยวัสดุสามชั้น 
ดังนี้
          * ชั้นนอกทำจากวัสดุ Poly  Propylene  Spunbond  ซึ่งมีคุณสมบัติที่ย่อมให้อากาศผ่านเข้า
ออกและไม่ดูดซึมน้ำ  มีความหนาตั้งแต่ 14-20 grams  * ชั้นกลางทำจากแผ่น  Melt  Blown  Filter  
ซึ่งมีความหนาตั้งแต่ 20-25 grams (เรามักจะพบว่าการใช้แผ่น Filter ที่หนากว่าจะให้ประสิทธิภาพการ
กรองเชื้อที่ดีกว่า  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลการวิเคราะห์จากองค์กรตรวจสอบการกรองเชื้อ) * ชั้นในทำมาจาก
วัสดุเช่นเดียวกันกับชั้นนอก  แต่จะมีความหนาตั้งแต่ 20-25 grams

           โดยทั่วไปหน้ากากอนามัย มีอายุการใช้งานวันต่อวัน หรือ ใช้ครั้งเดียวทิ้งไม่ควรใช้ซ้ำหรือใช้ร่วมกับ

ผู้อื่น  ไม่ว่าผู้นั้นจะมิได้ป่วยเป็นไข้หวัดเลยก็ตาม
ข้อควรปฏิบัติก่อนใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง

1. ล้างมือให้สะอาดก่อนสวมหน้ากากอนามัย
2. ควรใส่ให้ผ้าปิดตั้งแต่จมูกจนถึงคาง เพื่อป้องกันเชื้อร้ายที่แฝงตัวมากับอากาศเข้าสู่ร่างกาย
3. เมื่อทำการสวมใส่ ควรหลีกเลี่ยงให้มือไปสัมผัสกับเนื้อผ้าบริเวณด้านใน ที่แนบกับจมูกและปาก 

เพราะในมืออาจมีเชื้อโรคทำให้เข้าสู่ร่างกายได้
4. ควรสวมหน้ากากอนามัยให้พอดีกับหน้า โดยเฉพาะบริเวณสันจมูก ด้านที่มีโลหะจะอยู่บนสันจมูก
5. หน้ากากอนามัยจะมีสองสี เอาสีเข้มออกด้านนอก สีจางอยู่ชิดจมูก
6. สายรัดหรือยางที่ไว้สำหรับคล้องควรจะผูกให้พอดี และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
7. ถ้าเป็นไปได้ให้เปลี่ยนหน้ากากอนามัยทุกวัน

http://healther.lnwshop.com/  (จำหน่ายหน้ากากอนามันคาร์บอน 4 ชั้น)
ขอบคุณข้อมูลจากจุลสารก๊าซไลน์ ภายใต้ความร่วมมือของ ปตท.กับวิชาการดอทคอม
ที่มา : จุลสารก๊าซไลน์ (http://www.vcharkarn.com/varticle/40148)